ระวังแก๊งมิจฉาชีพ วิดีโอคอล แบล็คเมล์พระ

ย้อนไปเมื่อประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมา แก๊งมิจฉาชีพ วิดีโอ (มีการทำเป็นขบวนการ) ได้เปลี่ยนรูปแบบการหากินโดยมิชอบด้วยรูปแบบใหม่ เดิมทีใช้การหลอกลวงโดยการสร้างโปรไฟล์เฟสบุ๊คหน้าตาสะสวย เข้าไปขอเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊ค มาในมาดนักแสวงบุญ และชวนคุยตีสนิท ชวนไปลงทุนออนไลน์ Cryptocurrency (คริปโต) ลงทุนระบบเงินดิจิตอล ทำให้เหยื่อเสียมากต่อมากแล้ว

แต่ในปัจจุบัน แก๊งหลอกลวงเปลี่ยนรูปแบบหลอกลวงใหม่ โดยการมุ่งเป้าหมายไปกลุ่มพระสงฆ์ โดยเฉพาะเจ้าอาวาส หรือพระที่เป็นที่รู้จักในโลกโซเชียล ด้วยการขอเข้าไปเป็นเพื่อนและตีสนิท จนกระทั่งรู้ว่า ตายใจ (ตกหลุมพราง) ตามด้วยยั่วยุพระรูปนั้น ๆ ด้วยการเปลือย และหลอกพระถอดชุดออกให้หมด ตามด้วยบันทึกวิดีโอ จากนั้นก็จะนำวิดีโอมาข่มขู่ว่าจะเผยแพร่คลิปอนาจาร หรือเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเสียหายโดยให้ทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะให้ลบคลิป เช่น เรียกเงิน

โดยมากผู้เสียหายหรือผู้ที่ถูกแบล็คเมล์จะมีทางเลือกอยู่ ทาง3

1. ยอมจ่าย (เพื่อรักษาหน้าตา ชื่อเสียง)
2. ไม่ยอมจ่าย และแจ้งความ
3. ยอมสึก เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียไปมากในกว่านี้

จากกรณีที่ยกมาทั้ง 3 ข้อนี้ มีพระสงฆ์หลายรูปมักจะเลือกข้อที่ 1 (ซึ่งมีตัวอย่างมาแล้ว เรียกเงินเรื่อย ๆ ไม่จบสักที) ส่วนมากไม่กล้าเปิดเผยข้อมูล อาจจะเป็นเพราะความอับอายหรือชื่อเสียง จึงเป็นข้อเสียเปรียบและได้ใจของแก๊งมิจฉาชีพ ดังนั้นจึงอยากขอให้พระสงฆ์ได้ช่วยกันเฝ้าระวังแก๊งวิดีโอคอลให้มากขึ้น กรณีโดนขมขู่หรือแบล็คเมล์

หากโดนข่มขู่ว่าจะเผยแพร่คลิปอนาจาร หรือเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเสียหายโดยให้ทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะให้ลบคลิป หรือข้อมูลซึ่งในการข่มขู่ให้กระทำการใด ๆ จะมีความผิดในการทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพตาม มาตรา 309

– ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
– ถ้าเรียกเงินด้วยจะมีความผิดฐาน กรรโชกทรัพย์ ตามมาตรา 337 ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน – 7 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท – 140,000 บาท
– ถ้ามีการขู่ว่าจะเปิดเผยความลับแล้วเรียกเงิน จะมีความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท – 200,000 บาท

หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ สามารถดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
– หลักฐานการโพสต์หรือการแชร์ที่ถูกข่มขู่ไว้
– ประวัติการสนทนา หรือบันทึกเสียงตอนที่ถูกข่มขู่
– นำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที

หมายเหตุ :
การแบล็คเมล์ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริง หรือคนที่ถูกแบล็คเมล์จะทำความผิดจริงก็ตาม (เช่น ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ผิดประเพณี อันจะเป็นเหตุให้เสียชื่อเสียง)

ในส่วนของความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา (มาตรา/ความผิด) โปรดตรวจสอบอีกครั้ง (ผมไม่ใช่นักกฎหมาย ข้อมูลอาจจะผิดพลาดได้)

การแบล็กเมล์คืออะไร

การแบล็กเมล์ (Blackmail) เป็นรูปแบบหนึ่งของการข่มขู่หรือกดดันเพื่อให้ผู้อื่นกระทำการบางอย่างตามที่ผู้แบล็กเมล์ต้องการ โดยทั่วไปแล้ว ผู้แบล็กเมล์จะใช้ข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ถูกแบล็กเมล์เสียชื่อเสียงหรือเกิดความเสียหาย มาเป็นเครื่องมือในการกดดัน

ลักษณะของการแบล็กเมล์

1. การข่มขู่: ผู้แบล็กเมล์มักจะข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลหรือกระทำการที่อาจทำให้ผู้ถูกแบล็กเมล์เสียหาย
2. ข้อมูลที่เป็นความลับ: ข้อมูลที่ใช้ในการแบล็กเมล์มักจะเป็นข้อมูลที่ผู้ถูกแบล็กเมล์ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ เช่น เรื่องส่วนตัวหรือข้อมูลที่เป็นความลับทางธุรกิจ
3. การแลกเปลี่ยน: ผู้แบล็กเมล์จะเรียกร้องสิ่งตอบแทน เช่น เงิน หรือการกระทำบางอย่างจากผู้ถูกแบล็กเมล์ เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยข้อมูล

ผลกระทบของการแบล็กเมล์

• ความเครียดและความวิตกกังวล: ผู้ถูกแบล็กเมล์มักจะรู้สึกกดดันและวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล
• ผลกระทบต่อความสัมพันธ์: การแบล็กเมล์อาจทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลหรือองค์กร
• ผลกระทบทางกฎหมาย: การแบล็กเมล์เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ และผู้กระทำอาจต้องรับโทษทางกฎหมาย

วิธีการรับมือกับการแบล็กเมล์

• เก็บหลักฐาน: รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการแบล็กเมล์ เช่น ข้อความหรืออีเมล
• ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากรู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือ ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
• รายงานกับเจ้าหน้าที่: ในกรณีที่การแบล็กเมล์เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ควรรายงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

การแบล็กเมล์เป็นปัญหาที่ต้องการการจัดการอย่างรอบคอบและระมัดระวัง การรับมืออย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้